การลงทุนหุ้น และเศรษฐกิจ อัพเดทรายสัปดาห์

30 พฤศจิกายน 2554

Quotes เด็ดๆ: Invest. Don't Speculate


กลับมาอีกครั้งครับ กับเหล่าเซียนทั้งหลายผู้มีประสบการณ์โชกโชน จากประสบการณ์และความสำเร็จเหล่านั้น ถูกกลั่นกรองมาเป็น ประโยคคำพูดที่ช่วยแนะนำให้ นักลงทุนรุ่นหลังลงทุนได้อย่างถูกต้อง และมีผลตอบแทนที่ดีต่อไป
เราหวังว่า คำพูดของนักลงทุนชั้นเซียน [พร้อมคำแปล และคำอธิบายประกอบ] ที่เรากำลังจะนำเสนอต่อไปนี้จะเป็นตัวช่วยชี้นำการลงทุนในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของตลาดหุ้น และช่วยสร้างความมั่งคั่งของนักลงทุนได้ในระยะยาวครับ


"People who habitually purchase common stocks at more than about 20 times their average earnings are likely to lose considerable money in the long run." Benjamin Graham, Father of Value Investing

"คนที่ซื้อหุ้นที่มีระดับราคามากกว่า20เท่าของค่าเฉลี่ยของกำไรจนเป็นนิสัยนั้น มีโอกาสสูงที่จะต้องเสียเงินจำนวนไม่น้อยในระยะยาว"

ในข้อความนี้เบน แกรห์มเตือนนักลงทุนว่า ถ้าคุณซื้อหุ้นที่มีP/Eสูงกว่า20เท่าอยู่เป็นประจำ มันเป็นไปได้ยากมากที่คุณจะทำกำไรได้ดีจากการลงทุนหุ้น สาเหตุก็เพราะหุ้นที่มีP/Eสูงมากๆนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการที่นักลงทุนให้ความคาดหวังกับกำไรในอนาคตของบริษัทนั้นมากเกินไป

ตัวอย่างเช่น บริษัทB ซึ่งมีP/Eสูงเกิน50เท่า ซึ่งคนส่วนใหญ่ในตลาดมีความคาดหวังไว้ว่า บริษัทนี้จะมีอัตรากาารเติบโตของกำไรอยู่ที่ประมาณ50%ต่อปีในช่วงสองถึงสามปีข้างหน้า และคุณก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เชื่อในสิ่งที่ตลาดคาดหวังและซื้อหุ้นตัวนี้เก็บไว้

ผลปรากฎว่า บริษัทBมีผลประกอบการที่ดีมาก คือมีอัตราการการเติบโตของกำไรถึง30%

สามสิบเปอร์เซ็นต์? หมายความว่าสิ่งที่ตลาดคาดไว้50%นั้นสูงเกินไป นักลงทุนที่ซื้อไปตอนP/E=50ก็ต้องผิดหวัง เร่งขายหุ้นBจนP/Eตกลงมาใกล้เคียงกับอัตราการเติบโตของกำไรที่ประมาณ30 ผลก็คือบริษัทมีการเติบโตที่ดี แต่คุณต้องขาดทุน40%ของเงินที่ลงทุนในหุ้นB

หุ้นที่มีP/Eสูงมาก คือหุ้นที่มีความคาดหวังของอัตราการเติบโตของกำไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอยู่สูงมากเช่นเดียวกัน ซึ่งก็เหมือนทุกอย่างในชีวิตคนเราแหละครับ "อะไรที่หวังไว้สูงมาก ก็มีโอกาสผิดหวังมาก" และถ้าผลกำไรของบริษัทที่มีP/Eสูงๆไม่ได้โตได้เท่ากับที่ตลาดคาดการณ์หรือหวังไว้ หุ้นก็จะตกลงมาอย่างที่คุณนั้นไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

ถ้ายังไม่เชื่อว่าหุ้นP/Eสูงอันตราย ท่านผู้อ่านลองไปดูช่วงที่ตลาดลงแรงๆก็ได้ครับ แล้วเปรียบเทียบกันว่าตลาดปรับตัวลงไปกี่เปอร์เซ็นต์ และกลุ่มหุ้นที่มีP/Eเกิน20ราคาลงไปกี่เปอร์เซ็นต์



"Everyone has the brainpower to make money in stocks. Not everyone has the stomach. If you are susceptible to selling everything in a panic, you ought to avoid stocks and stock mutual funds altogether." Peter Lynch, Legendary Investor and Author

"ทุกคนมีมันสมองเพียงพอที่จะทำเงินจากหุ้นได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีความอดทนเพียงพอ ถ้าคุณเป็นคนที่หวั่นไหวง่ายจนต้องขายทุกอย่างทิ้งในช่วงที่มีแต่ความตื่นตระหนก คุณควรจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้น และกองทุนหุ้นไปเลย"

การลงทุนในหุ้นนั้นไม่ใช่เรื่องซับซ้อน ไม่ต้องเป็นอัจฉริยะ ก็สามารถทำกำไรงามๆได้ สิ่งที่นักลงทุนต้องมีคือ ความมีเหตุมีผล แนวทางการลงทุนที่ถูกต้อง และความอดทน อย่าให้ตลาดขาขึ้นมาเป็นแรงกดดันให้คุณต้องซื้อ และอย่าให้ตลาดขาลงมาเป็นแรงกดดันให้คุณต้องขาย มิฉะนั้น คุณจะไม่มีทางซื้อถูก ขายแพงได้เลย



"If you're an investor, you're looking on what the asset is going to do, if you're a speculator, you're commonly focusing on what the price of the object is going to do, and that's not our game."  Warren Buffett, Chairman and CEO of Berkshire Hathaway

"ถ้าคุณเป็นนักลงทุน คุณจะสนใจว่าสินทรัพย์[ของบริษัท]จะทำอะไรให้กับคุณได้บ้าง แต่ถ้าคุณเป็นนักเก็งกำไร คุณจะจดจ่อกับการเคลื่อนไหวของราคาของสิ่งนั้น และนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เราทำ"

นักลงทุนหุ้นที่ดี ต้องมองการเล่นหุ้นเหมือนการลงทุนในธุรกิจ และหน้าที่หลักๆของนักธุรกิจที่ดีก็คือ การหาซื้อธุรกิจที่มีอนาคตดีที่ราคาถูกๆ

ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นวันต่อวัน สัปดาห์ต่อสัปดาห์ หรือแม้กระทั้งรายเดือนนั้นไม่ใช่สาระสำคัญที่เราจะต้องใส่ใจ สิ่งที่เราจะต้องใส่ใจให้มากคือความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจที่เรากำลังจะซื้อว่า มันจะอยู่คงทนจนทำกำไรให้เราได้เป็นกอบเป็นกำในช่วง3-5ปีข้างหน้าหรือไม่? ถ้าคำตอบคือได้ หน้าที่ต่อไปของเราก็คือการรอจังหวะซื้อธุรกิจนี้ตอนราคามันถูกนั้นเอง



"There are two times in a man's life when he should not speculate - when he can't afford it and when he can." Mark Twain, Author and Humorist

"มีเพียงสองโอกาสในช่วงชีวิตของคนๆหนึ่งที่เขาไม่ควรเก็งกำไร - ในโอกาสที่เขาไม่สามารถทำได้ และในโอกาสที่เขาสามารทำได้"

ในประโยคนี้ มาร์ค ทเวน ซึ่งเป็นนักเขียนผู้มีชื่อเสียงโด่งดังได้เตือนผู้อ่านว่า เราควรหลีกเลี่ยงการเก็งกำไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

ผู้อ่านจำนวนหนึ่งอาจจะงงว่า "อ่าว เราไม่ได้เล่นหุ้นเพื่อเก็งกำไรหรอกเหรอ?"

ผมเคยได้ยิน บางคนถึงกับพูดว่า "เนี้ย เล่นหุ้นมันก็เหมือนกับการพนันนั้นแหละ ไม่ต่างกันหรอก ก็พนันด้วยการแทงว่าราคามันจะขึ้นหรือจะลงไง เพราะอย่างนี้ นักเสี่ยงดวงทั้งหลายจึงชอบเล่นหุ้น!"

ที่จริงในquoteก่อนหน้านี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์เขาก็ได้พูดให้ฟังแล้วว่า การเก็งกำไร กับ การลงทุนมันไม่เหมือนกัน แต่ผมจะขอชี้แจงความหมายของทั้งสองคำให้กระจ่างอีกทีหนึ่งครับ

การเก็งกำไร คือ การตัดสินใจซื้อ/ขายหุ้น อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ของทิศทางราคาหุ้นที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยส่วนมากจะเป็นการซื้อ แล้วถือระยะสั้น

การลงทุน  คือ การตัดสินใจซื้อหุ้น ที่ราคาสมเหตุสมผล หลังจากที่มีการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลของบริษัทโดยละเอียดจนมีความรู้ความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจนั้นๆ (Graham, 1973)

ผู้อ่านหลายๆคนอาจสังเกตเห็นแล้วว่า การเก็งกำไรนั้นใกล้เคียงกับการพนันมาก จึงไม่แปลกเลยที่นักเก็งกำไรมักจะมีชตากรรมคล้ายคลึงกับนักพนันส่วนใหญ่

แล้วนักเขียนอารมณ์ดีอย่าง มาร์ค ทเวนรู้เรื่องความอันตรายของการเก็งกำไรได้อย่างไร

มาร์ค ทเวนใช้รายได้มากมายจากการเขียนของเขาในการเก็งกำไรในบริษัทที่ดูแปลกๆ เขามักจะซื้อหุ้นของธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับนักธุรกิจที่เป็นที่รู้จักดี หรือนักการเมือง นอกจากจะเสียเงินไปกับธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพแล้ว มาร์คยังเสียเงินในหุ้นตัวอื่นอีกมากมาย ตั้งแต่ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ บริษัทที่มีกระบวนการตีพิม์แบบใหม่ และบริษัทผลิตพรมจากประเทศออสเตรีย

จากประสบการณ์ดังกล่าว เขาจึงรู้ดีว่า การเก็งกำไรนั้นไม่ดีต่อสุขภาพ(ทางการเงิน)เอาเสียเลย



"It is often much easier to tell what will happen to the price of a stock than how much time will elapse before it happens." Phillip Fisher, Pioneer of Growth Stock School of Investing

"ในหลายๆครั้ง การทายว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับราคาของหุ้นตัวหนึ่ง นั้นง่ายกว่าการทายให้ถูกว่าต้องใช้เวลาเท่าไรราคาหุ้นจึงจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางดังกล่าว"

ถ้าบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้น มูลค่าของบริษัทก็จะสูงขึ้น และราคาหุ้นก็จะต้องสูงขึ้นตาม ไม่ช้าก็เร็ว ราคาจะต้องปรับตัวตามมูลค่าอยู่เสมอ

ขอเน้นคำว่า "ไม่ช้าก็เร็ว" ครับ เพราะคนในโลกนี้ไม่ได้มีเหตุผลเสมอไป หลายๆครั้งอารมณ์ก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการซื้อ/ขายหุ้น ตัวอย่างเช่น ถ้านักลงทุนส่วนใหญ่กลัวหุ้นตก คนอาจจะจะแย่งกันขายจนหุ้นปรับตัวลงจริงๆ ทั้งๆที่"มูลค่าของบริษัท"อาจจะไม่ได้ลดลงเลยก็เป็นได้ นี้คือสาเหตุที่ ในบางช่วงเวลา มีบริษัทที่มีมูลค่าที่แท้จริงสูง แต่ราคาหุ้นต่ำ หรือ มีบริษัทที่มีมูลค่าต่ำ แต่ราคาหุ้นสูง

ถึงแม้สุดท้ายราคาจะต้องวิ่งเข้าหามูลค่า ไม่มีทางเลยที่เราจะสามารถทายได้อย่างแม่นยำว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร เพราะฉะนั้น นักลงทุนที่สามารถซื้อบริษัทดีๆได้ตอนราคาถูกๆนั้น ควรมีความอดทน สักวันราคาจะต้องปรับตัวขึ้นเข้าหามูลค่า ส่วนผู้ที่ถือบริษัทที่ไม่มีคุณภาพ และซื้อมาตอนP/Eสูงๆ เตรียมตัวไว้ได้เลยครับ เพราะสักวันราคาจะปรับตัวลงมาหามูลค่าที่แท้จริงของบริษัทอย่างแน่นอน



"The proportion of sell ratings on Wall Street remains under 5%, even today, despite the fact that any first-year MBA student can tell you that 95% of the stocks cannot be winners." Mike Mayo, Financial-Sector Analyst and Author

"สัดส่วน[ของบทวิเคราะห์]ที่แนะนำให้ขาย[หุ้น] ในวอลล์ สตรีทนั้นต่ำกว่า5%เสียอีก ทั้งๆที่นักศึกษาปีหนึ่งMBAก็บอกคุณได้แล้วว่า ไม่มีทางเลยที่หุ้นในตลาดที่เหลืออีก95%จะเป็นหุ้นที่ดีทั้งหมด"

ประโยคนี้จริงกับสหรัฐอเมริกา และคงจะจริงกับประเทศไทยด้วยเช่นเดียวกัน

ถ้าให้ผมเดาคร่าวๆ ผมเดาว่ากว่า90%ของบทวิเคราะห์ที่มีให้อ่านทุกวันนี้เป็นบทวิเคราะห์ที่แนะนำให้"ซื้อ", "ซื้อเมื่ออ่อนตัว", "ซื้อระยะยาว" และ "ถือ"

บริษัทที่เป็นเจ้าของบทความเหล่านี้ไม่ใช่บริษัทที่น่าเชื่อถือได้เสมอไปเพราะ
1.) บริษัทที่ถูกวิเคราะห์นั้นอาจจะเป็นลูกค้าที่ใช้บริการจากบริษัทผู้วิเคราะห์อยู่ แทนที่ผู้วิเคราะห์จะแนะนำ"ขาย" ก็กลับต้องแนะนำ"ถือ"แทน(หรือไม่ก็เลิกเขียนบทวิเคราะห์เกี่ยวกับบริษัทนั้นไปเลย) เพราะกลัวว่าผู้ที่ถูกวิเคราะห์นั้นจะไม่พอใจ จนอาจจะทำให้บริษัทผู้วิเคราะห์เสียลูกค้าได้
2.) ทุกๆการซื้อขาย นักลงทุนจะต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่น และพวกที่ได้คอมมิชชั่นก็คือบริษัทที่สนับสนุนให้เรา"ซื้อ"กันเนี้ยแหละ ยิ่งมีปริมาณการซื้อ-ขายมาก ยิ่งได้ค่าคอมมิชชั่นมาก

ที่กล่าวมานี้ ไม่ได้หมายความว่า บทวิเคราะห์ไม่มีความน่าเชื่อถือเลย เรายังสามารถใช้ประโยชน์จากบทวิเคราะห์ได้ครับ ด้วยการอ่านเพื่อศึกษาข้อมูล และนำข้อมูลที่ได้มาใช้ประกอบกับข้อมูลอื่นในการตัดสินใจลงทุนด้วยตัวเองอีกที



"In my whole life, I have known no wise people (over a broad subject matter area) who didn't read all the time - none, zero. You'd be amazed at how much Warren reads - at how much I read. My children laugh at me. They think I'm a book with a couple of legs sticking out" Charlie Munger, Vice-Chairman of Berkshire Hathaway

"ในช่วงชีวิตของผม ผมไม่เคยรู้จักคนฉลาด(ในเรื่องทั่วๆไป) คนไหนเลยที่ไม่อ่านหนังสือตลอดเวลา ไม่มีเลยสักคน คุณจะประหลาดใจว่าวอร์เรน [บัฟเฟตต์]อ่านเยอะขนาดไหน ว่าผมอ่านเยอะขนาดไหน ลูกๆขำผม พวกเขาคิดว่าผมเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่มีขายื่นออกมา"

ถ้าเราอยากจะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องอะไรก็ตาม เราจะต้องอ่านให้มาก วอร์เรน บัฟเฟตต์ เริ่มอ่านหนังสือการลงทุนตั้งแต่8ขวบ พออายุ12ขวบ เขาอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับลงทุนครบหมดทุกเล่มที่มีอยู่ในห้องสมุดสาธารณะแถวบ้าน ทุกวันนี้บัฟเฟตต์ก็ยังอ่านรายงานประจำปีของบริษัทต่างๆจำนวนมากอยู่ตลอด ไปเที่ยวก็ยังพกไปศึกษาด้วย นอกจากนี้เวลาเขาสนใจธุรกิจหรือบริษัทใด เขาจะตั้งใจศึกษาอย่างจริงจัง ด้วยการอ่านรายงานประจำปีย้อนหลัง การดูงบย้อนหลัง อ่านหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจนั้น อ่านชีวะประวัติและวิธีการจัดการของเจ้าของบริษัท(ถ้ามี) หรือ พูดง่ายๆอะไรมีให้อ่าน เขาอ่านหมด แค่นั้นยังไม่พอ บัฟเฟตต์ยังอ่านหนังสือพิมพ์วันละห้าฉบับอีกด้วย


สิ่งที่นักลงทุนควรได้จากคำพูดจากเซียนเหล่านี้คือ
  • อย่าซื้อหุ้นแพง และอย่าปล่อยอารมณ์อ่อนไหวตามการเคลื่อนไหวของราคาตลาด
  • นักลงทุนควร"ลงทุน"อย่างมีความอดทน แทนที่จะเก็งกำไร เพราะการเก็งกำไรนั้นทำได้ยากมาก เนื่องจากไม่มีใครสามารบอกได้อย่างแม่นยำว่าตลาดจะไปในทิศทางไหน เมื่อไร
  • อย่าลืมศึกษาการลงทุน ธุรกิจ และบริษัทที่เราสนใจเพื่อพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

และที่สำคัญที่สุด... อย่าลืมอ่านSETTALKครับ (คลิกที่นี้เพื่ออ่าน Quotes เด็ดๆ Part I)

Posted in:
Twitter