ความเดิมจากตอนที่แล้ว...
ในการจัดพอร์ทการลงทุนนั้น นักลงทุนควรคำนึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้
1.) จุดประสงค์ของการลงทุน [INVESTMENT GOAL]
2.) ช่วงเวลาในการลงทุน [TIME HORIZON]
3.) ความทนต่อความเสี่ยง [RISK TOLERANCE]
[อ่านรายละเอียดได้ที่ ลงทุนปี2012: ถือแต่เงินสดรอหุ้นตกดีมั้ย?]
หลังจากนั้นผมได้เสนอสาธิตวิธีการจัดพอร์ทโดยใช้โปรแกรมซึ่งจัดทำโดยบรรณาธิการของ Money Magazine และได้นำเสนอคำถามต่างๆที่ท่านผู้อาจเกิดความสงสัยขึ้นในใจ ในบทความนี้ผมจะมาตอบคำถามเหล่านั้นครับ
1.) จะหาโปรแกรมนี้ได้จากไหน?
โปรแกรมนี้ชื่อ Asset Allocation Wizard ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ผ่านลิงค์นี้ครับ http://cgi.money.cnn.com/tools/assetallocwizard/assetallocwizard.html
ภาพตัวอย่างของ Asset Allocation Wizard |
2.) หลังจากใส่ข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ฉันต้องซื้อหุ้นตามสัดส่วนที่โปรแกรมนี้แนะนำทันทีเลยหรือเปล่า?
ไม่จำเป็นครับ ผมแนะนำให้อ่านบทความ วิธีรับมือตลาดอันแปรปรวน ก่อน แล้วค่อยๆปรับพอร์ทของเราตามขั้นตอนที่แนะนำไปในบทความดังกล่าวครับ
(ผมขอข้ามข้อสามไปก่อนนะครับ)
4.) โปรแกรมนี้แนะนำให้ซื้อหุ้นต่างประเทศด้วย แล้วนักลงทุนรายย่อยในไทยจะซื้อหุ้นต่างประเทศได้อย่างไร
การซื้อหุ้นต่างประเทศโดยตรงอาจจะทำได้ยาก เพราะต้นทุนจะสูงมากสำหรับนักลงทุนที่ยังมีเงินลงทุนไม่มากนัก
กองทุนรวมต่างๆจึงเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่งครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองทุนที่ลงทุนในยุโรปและจีน เพราะราคาหุ้นในยุโรปตอนนี้ถูกพอสมควร เนื่องจากมีวิกฤตหนี้เป็นปัจจัยลบกดตลาดอยู่ (ตอนที่ตลาดยุโรปลงแรงๆในเดือนพฤศจิกายน Warren Buffettยังเข้าไปช้อนหุ้นเก็บไว้เลยครับ อ่านได้ที่ We're Buying an Attractive European Stock Today) ส่วนตลาดจีนนั้น ราคาหุ้นก็ไม่แพง แถมยังเป็นประเทศที่มีอนาคตไกลอีกด้วย
นี้เป็นเวลาที่เหมาะมากครับ ที่นักลงทุนทั้งหลายจะเริ่มศึกษาเกี่ยวกับกองทุนรวมต่างๆที่ลงทุนในยุโรป และจีน
แล้วข้อสามละ?
ข้อสามผมเขียนคำถามทิ้งเอาไว้ว่า "ถ้าฉันซื้อหุ้นตามนี้แล้ว ต่อมาหุ้นมันขึ้น/ลง ฉันควรทำอย่างไรต่อ?"
ที่เก็บเอาไว้ตอบข้อสุดท้าย เพราะคำตอบของข้อนี้สำคัญกว่าข้ออื่นๆครับ
คำตอบก็คือ คุณควรจะ Rebalance (อ่านว่า รีบาลานซ์) พอร์ทของคุณอยู่เป็นระยะๆนั้นเองครับ ซึ่งหมายถึงการปรับสัดส่วนสินทรัพย์ที่อยู่ในพอร์ทให้ตรงกับสัดส่วนที่เรากำหนดไว้ตอนแรก
ตัวอย่างเช่น ถ้าราคาของหุ้น/กองทุนหุ้นในพอร์ทคุณหลายๆตัวปรับตัวลงมากจนทำให้สัดส่วนของหุ้นที่อยู่ในพอร์ทตกจาก50%มาอยู่ที่20%ของสินทรัพย์ทั้งหมดในพอร์ท คุณก็ควรทยอยขายหุ้นกู้(หรือถอนเงินจากธนาคาร)มาทยอยซื้อหุ้น/กองทุนหุ้นเพิ่มเพื่อปรับให้สัดส่วนของการถือหุ้นใกล้เคียง50%ดังเดิม ในทางตรงกันข้าม ถ้าราคาหุ้นมันปรับตัวสูงขึ้นจนสัดส่วนของหุ้นในพอร์ทเพิ่มขึ้นเป็น80% คุณก็ควรทยอยขายหุ้น และนำเงินที่ได้ไปฝากธนาคาร เพื่อปรับสัดส่วนของหุ้นลงจนใกล้เคียง50%เหมือนเดิม
การRebalanceเช่นนี้ มีข้อดีอยู่สามอย่างคือ
1.) เป็นกฎที่เราเข้าใจและนำไปใช้ได้ไม่ยาก
2.) เป็นการปรับให้พอร์ทเหมาะกับเป้าหมายและตัวเราเองอยู่เสมอ
3.) ทำให้เราทยอยซื้อเวลาหุ้นตก และทยอยขายเวลาหุ้นขึ้นโดยอัตโนมัติ
ควรจะRebalanceบ่อยแค่ไหน?
เราควรปรับพอร์ทเดือนละครั้ง? ปีละครั้ง? หรือบ่อยแค่ไหนกันแน่?
แทนที่จะกำหนดว่าจะปรับพอร์ทบ่อยแค่ไหน เราควรจะกำหนดว่าจะปรับพอร์ทตอนไหนมากกว่าครับ เช่น จากสัดส่วนของหุ้นที่กำหนดไว้ว่าเท่ากับ50%ของพอร์ทในตอนแรก เราจะทยอยขายหุ้นเมื่อสัดส่วนของหุ้นในพอร์ทมากกว่า75% และจะทยอยซื้อเพิ่มเมื่อสัดส่วนดังกล่าวน้อยกว่า25%เป็นต้น (Graham 1973)
สิ่งนี้จะช่วยให้นักลงทุนได้ซื้อของถูกขายแพง โดยไม่จำกัดจำนวนครั้งในการซื้อขาย ซึ่งจะช่วยให้เราไม่พลาดโอกาสดีๆนั้นเอง
-------------------------------------------
จบไปแล้วครับสำหรับการลงทุนแบบจัดสรรปันส่วนสินทรัพย์ ผมหวังว่าวิธีนี้จะเป็นประโยชนกับผู้อ่านได้บ้างนะครับ
อย่างไรก็ตาม นี้ไม่ใช่แบบการลงทุนที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นหนึ่งในหลายๆวิธีที่จะช่วยทำให้นักลงทุนรอดพ้นจากการซื้อแพง-ขายถูกไปได้ สำหรับผู้ที่ติดตามข่าวสาร และมีเวลาศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนมากพอ การตัดสินใจซื้อ-ขายควรขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่าง"มูลค่าบริษัท"กับ"ราคาหุ้น"ของบริษัท และตัวบ่งชี้สำคัญๆ เช่น P/Eของตลาดหุ้น มากกว่าสัดส่วนของหุ้นที่ถืออยู่ในพอร์ทครับ
แต่สำหรับท่านที่ยังไม่มีเวลาศึกษามากนัก การRebalanceก็จะช่วยคุณได้มาก และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีทีเดียวครับ