ในระยะยาว มูลค่าของตลาดหุ้นขึ้นอยู่กับ3ปัจจัยนี้ คือ
1. อัตราดอกเบี้ย
ดอกเบี้ย "ส่งผลต่อตลาดหุ้นและตลาดการเงิน เหมือนกับที่ แรงดึงดูดของโลกส่งผลต่อสรรพสิ่งต่างๆบนโลก"* ยิ่งอัตราดอกเบี้ยสูงมากเท่าไร แรงดึงให้มูลค่าของตลาดหุ้นลงก็มีมากเท่านั้น เพราะผลตอบแทนที่นักลงทุนต้องการจากการลงทุนชนิดต่างๆนั้น มีความสัมพันธ์โดยตรงกับอัตราดอกเบี้ยปลอดความเสี่ยงที่สามารถหาได้จากหุ้นกู้ของรัฐบาล และบัญชีเงินฝากของธนาคาร เพราะฉะนั้น ถ้าดอกเบี้ยเงินฝากสูงขึ้น ราคาหรือมูลค่าของการลงทุนอื่นๆจะต้องปรับตัวลดลง เพราะนักลงทุนบางส่วนเอาเงินออกจากตลาดหุ้นไปฝากธนาคาร ในทางตรงกันข้าม ถ้าดอกเบี้ยเงินฝากลดลง ราคาหุ้นและมูลค่าการลงทุนอื่นๆก็จะปรับตัวสูงขึ้น
*กล่าวโดย Warren Buffet
2.การเจริญเติบโตของผลประกอบการของบริษัทในระยะยาว
ปัจจัยตัวนี้มีความสัมพันธ์กับอัตราการเจริญเติบโตของผลผลิตมวลรวมของประเทศ(GDP)อย่างชัดเจน ถ้าGDPขึ้น กำไรของบริษัทส่วนใหญ่ก็จะมีกำไรมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคาหุ้นมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าGDPลง กำไรของบริษัทส่วนใหญ่ก็จะมีกำไรลดลง ส่งผลให้ราคาหุ้นลดลง
3.มูลค่าของตลาดหุ้น (Total Market Capitalization)
ในระยะยาว มูลค่าของตลาดหุ้นจะกลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ยของมัน ซึ่งหมายความว่า มูลค่าของตลาดหุ้นที่สูงในปัจจุบันจะส่งผลให้เกิดผลตอบแทนที่ต่ำลงในอนาดต ในทางตรงกันข้าม มูลค่าของตลาดหุ้นที่ต่ำในปัจจุบันจะส่งผลให้เกิดผลตอบแทนที่สูงขึ้นในอนาคต เพราะว่าความเสี่ยงด้านขาลง(downside risk)ต่ำนั้นเอง
แหล่งที่มาของผลตอบแทนจากการลงทุน
ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง หรือในตลาดหุ้นโดยรวมขึ้นอยู่กับ3ปัจจัยดังนี้
1.อัตราการเจริญเติบโตของธุรกิจ (Business Growth)
ถ้าเราลองสังเกตุธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง มูลค่าของธุรกิจนั้นๆจะขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่บริษัทหามาได้ เพราะฉะนั้น อัตราการเจริญเติบโตของมูลค่าธุรกิจ จึงขึ้นอยู่กับอัตราการเจริญเติบโตของผลประกอบการของธุรกิจนั้นๆ
ถ้านักลงทุนในตลาดสังเกตุเห็นมูลค่าที่เปลี่ยนไป อัตราการเติบโตของมูลค่าของธุรกิจจะถูกสะท้อนด้วยราคาหุ้นที่สูงขึ้น ซึ่งสุดท้ายแล้วตลาดจะสังเกตุเห็นได้เอง แล้วราคาหุ้นจะเปลี่ยนแปลงตามมูลค่าธุรกิจ
2.เงินปันผล (Dividends)
เงินปันผลเป็นส่วนสำคัญของผลตอบแทนจากการลงทุน เงินปันผลเป็นส่วนหนึ่งของผลกำไรที่ธุรกิจหามาได้ และเป็นส่วนที่บริษัทเลือกที่จะจ่ายให้กับผู้ที่หุ้น ซึ่งบริษัทจะจ่ายหรือไม่จ่ายก็ได้
ส่วนใหญ่แล้ว สัดส่วนกำไรที่จ่ายเป็นเงินปันผล(dividend payout ratio)ที่สูงจะส่งผลให้อัตราการเติบโตของผลประกอบการต่ำ เพราะบริษัทจะเหลืองผลกำไรที่เก็บไว้กับตัวเองน้อย ทำให้ความสามารถในการลงทุนเพิ่มนั้นถูกจำกัด ถ้าจะลงทุนเพิ่มก็อาจจะต้องกู้ยืมมากขึ้นเป็นต้น
อย่างไรก็ดี นอกจากอัตราการเติบโตของธุรกิจ เงินปันผลจะคิดเป็นผลตอบแทนเพิ่มเติมที่นักลงทุนได้จากการถือหุ้น
3.การเปลี่ยนแปลงของมูลค่าในตลาดหุ้น (Change in Market Valuation)
ถึงแม้อัตราการเจริญเติบโตของธุรกิจ และเงินปันผลไม่ได้เปลี่ยนแปลงกันแบบวันต่อวัน แต่ราคาหุ้นกลับเป็นเช่นนั้น การเปลี่ยนแปลงรายวันของราคาหุ้นนั้นเกิดจากความคาดหวังในผลประกอบการของธุรกิจนั้นๆของนักลงทุน ความคาดหวังดังกล่าวขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆเช่น ปัจจัยภายนอก เช่น ความมั่นคงทางการเมือง เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก และปัจจัยภายในบริษัทที่ส่งผลต่อต้นทุนหรือรายได้ของบริษัทโดยตรง
เอาสามปัจจัยนี้มารวมกัน เราจะได้ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนคือ
Investment Return (%) = Business Growth (%)+ Dividend Yield (%)+ Change of Valuation (%)