การลงทุนหุ้น และเศรษฐกิจ อัพเดทรายสัปดาห์

08 พฤศจิกายน 2554

ซื้อหุ้น = ซื้อของกินของใช้ & อย่าขายเพียงแค่เพราะราคาตก

เวลาซื้อไมโครเวฟ ตู้เย็น ทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือ เครื่องใช้อะไรก็ตามที่ต้องอยู่กับเราไปนานๆ คนส่วนใหญ่จะใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะตัดสินใจได้ว่าจะซื้อแบบไหนดี ถึงจะคุ้มค่า คุ้มราคา หลายๆครั้งอาจใช้เวลาเป็นวันๆไปตามที่ต่างๆ ถ้าเจอแบบที่เราชอบที่กำลังอยู่ในช่วงโปรโมชั่นลดราคาอยู่พอดี ยิ่งดีใจใหญ่ และอาจคิดในใจว่า "ทำไมถึงโชคดีแบบนี้?"

แต่พอพูดถึงการซื้อหุ้น ทุกอย่างเปลี่ยนไป...

คนส่วนใหญ่ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง เพื่อตัดสินใจที่จะซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ทั้งๆที่การตัดสินใจที่ผิดพลาดนั้นจะนำไปสู่ความเสียหายต่อความมั่งคั่งมากกว่า การซื้อตู้เย็นผิดแบบหลายเท่านัก หลายๆคนอาจลืมไปแล้วว่าพวกเขากำลังซื้อ“บริษัท” ไม่ได้ซื้อ“ล็อตเตอรรี่” หนำซ้ำ พอราคาลงกลับยิ่งไม่กล้าซื้อ และอาจคิดในใจว่า “ทำไมตลาดหุ้นมันน่ากลัวขนาดนี้?”

Peter Lynch จึงเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าคนเราใช้เวลาเลือกซื้อหุ้น เท่ากับเวลาที่เราใช้เลือกซื้อไมโครเวฟ ผลตอบแทนต่อนักลงทุนจะดีขึ้น

และ Benjamin Graham จึงเคยกล่าวไว้ว่า เวลาซื้อหุ้น ให้เลือกซื้อเหมือนตอนเลือกซื้อของชำ(ของอุปโภคบริโภค) ไม่ใช่เหมือนตอนเลือกซื้อน้ำหอม

พูดสั้นๆ คือ การลงทุนในหุ้นทำให้คนที่โดยปกติแล้วมีเหตุมีผล กลายเป็นคนไม่มีเหตุไม่มีผลไปได้ง่ายๆ

วันนี้ผมจะมายกตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายได้เห็นว่า ความมีเหตุมีผลง่ายๆในชีวิตประจำวันนั้น สามารถก่อให้เกิดประโยชน์มากแค่ไหนถ้านักลงทุนนำสิ่งนั้นมาใช้กับการลงทุนด้วย


เรื่องจากผู้เขียนSETTALK

เรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นเรื่องของทางบ้านผู้เขียนเองครับ

ที่บ้านของผมมีแม่บ้านอยู่หนึ่งคน ซึ่งอยู่กับบ้านผมมาเป็นเวลาประมาณ20ปี เราจึงกินอยู่กันเหมือนญาติ

แม่บ้านผู้นี้รับเงินเดือน แต่ก็มีรายได้พิเศษจากการขายกองกระดาษที่เหลือใช้จากภายในบ้าน เช่น หนังสือเก่าๆ หนังสือการ์ตูน เอกสารที่ไม่ใช้แล้ว และกระดาษหนังสือพิมพ์เป็นต้น

ถึงแม้ว่าจะจบแค่ป.2 แม่บ้านคนนี้ก็รู้ดีว่า จะทำกำไรเยอะๆจากอะไรก็ตาม เราจะต้อง “ซื้อถูก ขายแพง” แล้วต้องทำให้ได้บ่อยๆด้วย

สำหรับกระดาษเหลือใช้ เธอได้มาฟรี เพราะฉะนั้นขั้นตอนการ “ซื้อถูก”นั้น จึงไม่มีปัญหามากนัก และเธอจะคอยกำชับคนในบ้านเสมอว่า “อย่าทิ้งกระดาษนะ กองเอาไว้หน้าบ้านนั้นแหละ จะเอาไว้ชั่งกิโลขาย”

สำหรับขั้นตอน “ขายแพงนั้น” ราคาขายนั้นจะต้องเป็นราคา 5บาท/กิโล ขึ้นไปเท่านั้น และจะเลือกขายเฉพาะคนที่ไม่โกงตาชั่ง เพราะจะทำให้ขายได้มูลค่า5บาทเต็ม

แต่ปรากฏว่า เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา น้ำเริ่มท่วมพื้นที่ต่างๆในกรุงเทพ จนเข้าใกล้เขตของบ้านผู้เขียนมากขึ้นทุกที แม่บ้านคนนี้จึงเกิดความกังวลว่า “ถ้ากระดาษเปียก ก็ขายไม่ได้นะสิ เก็บไว้ก็เป็นภาระอีก” เย็นวันนั้นเองเธอบังเอิญเดินไปเจอผู้รับซื้อกระดาษรายหนึ่งที่ตลาดนัดแถวบ้าน การสนทนาจึงเริ่มขึ้น

แม่บ้าน: อ่าว น้อง ยังรับซื้อกระดาษอยู่มั้ย?

ผู้รับซื้อ: รับค่ะๆ

แม่บ้าน: ดีๆ งั้นพรุ่งนี้ มาที่บ้านพี่ด้วยนะ เดี๋ยวขายให้

ผู้รับซื้อ: ค่ะ

พอพูดจบ แม่บ้านของเราจึงเดินห่างออกมา เพื่อมุ่งหน้าออกจากตลาดแล้วกลับบ้าน แต่ยังไม่ทันออกจากตลาดเธอเดินกลับมา แล้วตะโกนถามผู้รับซื้อว่า

แม่บ้าน: น้อง! ซื้อกิโลละเท่าไร

ผู้รับซื้อ: 3บาทค่ะพี่

แม่บ้าน: งั้นไม่ต้องมาแล้ว ไม่ขาย!

พอรู้ว่าน้ำกำลังจะท่วม ผู้รับซื้อรายนี้คงรู้ว่า หลายๆครัวเรือนคงจะรีบระบายกระดาษที่มีอยู่ในบ้าน เลยกล้าที่จะกดราคารับซื้อ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าน้ำกำลังมา แม่บ้านผู้นี้ไม่หวั่น เธอรู้ว่าถึงน้ำมาก็เก็บกระดาษไว้ชั้นสองได้ เพราะโอกาสท่วมถึงชั้นสองนั้นมีต่ำมาก และขอย้ำว่าราคาลง เธอไม่ขาย! (ยกเว้นว่าน้ำมันจะท่วมเขตบึงกุ่มไปตลอดกาล ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้) ถ้าน้ำท่วมสูงขึ้น สักวันก็ต้องลดลง ราคากระดาษต้องดีดตัวกลับมาที่ห้าบาทอีกครั้ง เก็บไว้ขายตอนนั้นก็ไม่เห็นเสียหาย


สิ่งที่เราควรเรียนรู้จากแม่บ้านผู้นี้คือ

1.) ถ้าของเราดีจริงมีคุณภาพจริง ราคาลงอย่ารีบขาย

2.) ตรวจสอบดูให้ดีว่า ทำไมราคาถึงลง? ลงอย่างสมเหตุสมผลหรือไม่ หรือคนแค่กลัวมากไปเอง

3.) ถ้ามีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นจริง วิกฤตนั้นจะอยู่กับเราไปอีกหลายปี หรือแค่อีกหลายเดือน? ถ้าหลายปี เราอาจพิจารณาขายของชิ้นนั้นไปเลย เมื่อมีโอกาสนำเงินไปทำอย่างอื่นที่เกิดประโยชน์มากกว่า ถ้าใช้เวลาไม่นานนักสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติ เราก็ควรจะถือเก็บรอไว้ ด้วยเหตุผลที่ว่า อีกไม่นานนักเรื่องก็น่าจะคลี่คลาย ราคาของชิ้นนั้นก็คงกลับมาที่ระดับปกติได้

จะสังเกตได้ว่า ในสามข้อนี้ ผมไม่ได้พูดคำว่า “หุ้น”แม้แต่คำเดียว เพราะสิ่งที่ผมกล่าวไปนั้น สามารถนำไปใช้กับสิ่งของ หรือสินค้า ได้ทุกประเภท ซึ่งรวมไปถึงการลงทุนในหุ้นด้วย

ปัจจุบัน น้ำท่วมบ้านผู้เขียนแล้วครับ แต่แม่บ้านผู้นี้ขายกระดาษไปแล้วก่อนหน้าที่น้ำจะมาด้วยราคา5บาท/กิโลกรัม

ใครบอกว่าแม่บ้านไม่เก่งเรื่องการลงทุน?

Posted in:
Twitter