การลงทุนหุ้น และเศรษฐกิจ อัพเดทรายสัปดาห์

29 มีนาคม 2555

ส่อง'หุ้นไทย'ชอร์ตเทอมเสี่ยง: ทางยาวภูมิคุ้มกันภายในแกร่ง



เนื้อหาทั้งหมดต่อไปนี้มาจากหนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2,725 วันที่ 25-28 มีนาคม พ.ศ. 2555 หน้า 4 ในหัวข้อ " ส่อง'หุ้นไทย'ชอร์ตเทอมเสี่ยง: ทางยาวภูมิคุ้มกันภายในแกร่ง "


หุ้นระยะสั้นอันตราย

มีคำถามว่าแล้วถัดจากนี้ หรือแนวโน้มจะเป็นอย่างไร กลยุทธ์การลงทุนและการจัดพอร์ทควรเป็นอย่างไร

สิ่งที่ประมวลได้จากมุมมองของนักวิเคราะห์ นักลงทุนสถาบัน และผู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในตลาดหุ้นมานานกว่า 2 ทศวรรษอย่าง ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ทำให้ได้ภาพตลาดหุ้นเป็น 2 ระยะ คือ ระยะสั้น และระยะยาว

ภาพระยะสั้น มีการประเมินว่าตลาดหุ้นไทยมีราคาแพงแล้ว โดยเฉพาะหลังปรับขึ้นแตะระดับ 1,200 จุด ดังนั้นจึงทำให้เกิดสัญญาณขาย อีกทั้งมีการมองว่าตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการปรับฐาน จากนี้ตลาดจะเริ่มผันผวนจึงมีความเสี่ยงต่อการลงทุน แนะนำให้นักลงทุนเริ่มทยอยลดพอร์ทการลงทุน

กูรูเตือนอย่าลืมอดีต "ฟองสบู่แตก"

ทั้งนี้ดร.ก้องเกียรติ ได้ออกมาเตือนเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ ก่อนที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะปรับขึ้นที่ระดับ 1,200 จุด โดยกล่าวว่าตลาดหุ้นไทยแพง นอกจากนี้ เขาบอกว่า ในอดีตตลาดหุ้นไทยเคยดิสเคาต์ หรือมีการซื้อขายที่ราคาส่วนลดมากกว่านี้ และแนะนำให้ไปลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากเศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัว

เช่นเดียวกับดร.ณรงค์ชัย กล่าวเตือนว่า ดัชนี 1,200 จุด แพงไปแล้ว พร้อมเตือนสตินักลงทุนว่า อย่าไปเชื่อแรงเชียร์ของนักวิเคราะห์ และให้ย้อนอดีต ไปในปี 2538 ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที 1,280.81 จุด หลังฟองสบู่ตลาดหุ้นแตก และเกิดวิกฤตปี 2540 ปรากฎว่าในปี 2541 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงไปที่ระดับ 355.81 จุด ลดลงถึง 925 จุด หรือลดลงถึง 72.22%

ระวัง!ฟันโฟลว์พลิกกับ

ด้วยความที่ตลาดหุ้นไทยยังถูกกำหนด โดยเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ โดยแต่งตั้งแต่ต้นปี 2555 ถึงปัจจุบัน (4 ม.ค.-23 มี.ค.) ต่างชาติซื้อสุทธิถึง 75,378 ล้านบาทดังนั้นนักลงทุนต้องติดตามกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (ฟันด์โฟลว์) อย่างใกล้ชิด

เกี่ยวกับประเด็นที่กล่าวข้างต้น บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทิสโก้ จำกัด แนะนำให้นักลงทุนควรจับตาค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดโดยหากอ่อนค่าทะลุ30.90บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ น่าจะกระตุ้นกระแสเงินฟันด์โฟลว์พลิกกับได้ โดยหากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯที่แนวรับ 1,189-1,190 จุด เอาไว้ไม่อยู่คาดว่าจะไหลลงทดสอบแนวรับ 1,175-1,180 จุด อย่างรวดเร็ว

จากความเสี่ยงข้างต้น บล.ทิสโก้ฯ แนะว่านักลงทุนต้องหูตาเป็นสับปะรดเพราะตลาดหุ้นมีความเสี่ยงสูงขึ้น ต้องใช้ความระมัดระวังสูง จากโอกาสพลิกผันของฟันด์โฟลว์ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ จึงแนะนำแบ่งขายทำกำไรลดความเสี่ยงไปเรื่อยๆส่วนการเก็งกำไรทำได้แต่ต้องเล่นรอบเร็วขึ้น

ขณะที่ธนรัตน์ อิศรกุล นักวิเคราะห์บล.บัวหลวงฯ ยังกังวลว่าตลาดหุ้นไทยอยู่ในแดนซื้อเกินไปอย่างมาก สภาพคล่องที่มากในปัจจุบันหนุนราคาหุ้นได้ดี แต่ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนจากตลาดหุ้นของไทย เทียบกับตราสารหนี้เริ่มน้อยลง ในอดีตที่ผ่านมานักลงทุนมักจะขายหุ้น เมื่ออัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในตลาดหุ้นต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย

แรงส่งศก.ในประเทศหนุน

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยระยะยาว มีการมองว่ายังมีแรงส่ง จากปัจจัยพื้นฐานในประเทศ คือ เศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ดังนั้นจึงมีการคาดการณ์ว่าปี 2555 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสามารถปรับตัวขึ้นไปยืนที่ระดับ 1,200-1,300 จุด

ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) กรุงศรี จำกัด เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีกโดยมองเป้าหมายที่ราว 1,200 - 1,300 จุด เนื่องจากมองว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ของไทยในปีนี้จะขยายตัวดีที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาค หลังเกิดปัญหาน้ำท่วมในช่วงไตรมาส4/54 จึงทำให้กำไรบจ.โตเพียง 4% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวในระดับถึง 10%

โดยปีนี้บลจ.อยุธยาฯ ประเมินว่ากำไรของบจ.น่าจะเติบโตจากปีก่อนประมาณ 16% และปี 2556 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 15% ขณะเดียวกันมองว่า ปีนี้ไทยมีปัจจัยบวกในเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าตัวเลขจีดีพี จะขยายตัวประมาณ 5.6% และเงินเฟ้อจะอยู่ทีระดับ 5.69%

แนะซื้อลงทุนยาว

สำหรับมุมมองนักลงทุนชื่อดังที่คร่ำหวอดอยู่ในตลาดหุ้นมากกว่า 20 ปี "ดร.นิเวศ เหมาชิรวรากร" ฉายาแวลูอินเวสเตอร์ หรือนักลงทุนหุ้นคุณค่า กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2555 ที่ปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 1,200 จุด ที่ระดับอัตราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(พี/อี) ประมาณกว่า10เท่า โดยมีการทยอยปรับขึ้นมาประมาณ 10 ปี หลังวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 นั้น เมื่อเทียบกับในอดีตประมาณ2538 - 2539 ดัชนีตลาดหุ้นไทยเคยปรับขึ้นไปสูงที่กว่า 1,700 จุด พี/อีที่ระดับกว่า 20 เท่า ถือว่าเป็นภาวะที่เข้าสู่ฟองสบู่ เนื่องจากราคาอสังหาริมทรัพย์ อัตราดอกเบี้ย และอัตราการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์อยู่ในระดับสูง รวมถึงอัตราการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์หรือมาร์จินในอดีตยังเคยสูงถึง 100,000 ล้านบาท

กำไรบริษัทจดทะเบียนหนุน

ขณะที่ปีนี้ แม้ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯจะเริ่มปรับขึ้นไปแต่หากอิงจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน ที่ยังมีความสามารถในการทำกำไรโดยมีปัจจัยสนับสนุน อาทิ การลดภาษีนิติบุคคลที่ปรับลงจาก 30% เหลือ 23%, มาตรการใช้จ่ายของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ, ราคาสินค้าที่ปรับขึ้น ยังมีโอกาสเพิ่มอัตรากำไรได้อีก

"ดังนั้นปีนี้แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นไปที่ระดับใกล้เต็มมูลค่าพื้นฐานแล้วแต่ยังมีโอกาสปรับขึ้นได้จากปัจจัยสนับสนุนดังกล่าว โดยคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯยังปรับขึ้นได้อีกประมาณ 100 จุด หรือไปที่ระดับ 1,300 จุด ซึ่งเป็นการสะท้อนปัจจัยพื้นฐาน"

โอกาสทำกำไรหุ้น 10-15% ต่อปี

อย่างไรก็ตามดร.นิเวศน์ กล่าวว่าแม้ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับขึ้นจากปัจจัยพื้นฐาน แต่คงไม่มีโอกาสได้เห็นการปรับขึ้นแรงๆ จนทำให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น ที่ทำได้ดีในระดับ 50-100% เช่นเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา หลังเกิดวิกฤตซับไพรม์ในปีสหรัฐฯปี 2551 จนทำให้หุ้นไทยปรับตัวลงถึง 50% แต่ก็ยังสามารถปรับขึ้นมาได้ เนื่องจากพื้นฐานบริษัทจดทะเบียนไม่ได้รับผลกระทบไปด้วย ดัชนีตลาดหุ้นไทยจึงกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

ปีนี้แม้ว่ายังมีปัจจัยที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอาทิ วิกฤตหนี้ยุโรป ราคาน้ำมัน ปัญหาการเมือง เป็นต้น ซึ่งมีโอกาสกดตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงได้ แต่คงจะปรับลงไปในระยะสั้น แล้วก็ปรับขึ้นมาสู่ภาวะปกติเช่นเดิม

นอกจากนี้ดร.นิเวศน์ มีมุมมองต่อกรณีที่อาจมีนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นและขนเงินออกไป ก็เชื่อว่าเงินจะไหลกลับมาอีก ด้วยเหตุผล 2 ประการคือ พื้นฐานตลาดหุ้นไทยดี และสภาพคล่องที่ยังท่วมโลก ส่วนคำแนะนำการลงทุนในตลาดหุ้น สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ระดับปานกลางดร.นิเวศน์แนะนำให้ลงทุนในหุ้นประมาณ 50% ของพอร์ต ภายใต้เงื่อนไขว่า ต้องลงทุนระยะยาว โดยคาดว่าในระยะ1-3ปีข้างหน้า ยังมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 10-15% ต่อปี

ข้างต้นคือภาพการลงทุนตลาดหุ้นไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และชัดเจนว่า พื้นฐานหุ้นไทยยังแข็งแกร่งดังนั้นน่าจะเป็นเกราะป้องกันปัจจัยลบจากต่างประเทศได้ระดับหนึ่ง

Posted in:
Twitter