การลงทุนหุ้น และเศรษฐกิจ อัพเดทรายสัปดาห์

24 กรกฎาคม 2555

หุ้นฮอตฮิตที่นักลงทุนควรหลีกเลี่ยง


ท่านนักลงทุนครับ...

ท่านทั้งหลายเคยสังเกตมั้ยว่า ในแต่ละช่วงเวลา ตลาดหุ้นจะมีthemeการลงทุนหรืออุตสาหกรรมที่ฮอตฮิตเป็นพิเศษ ตัวอย่างเช่น

1.) ในช่วงต้นยุค90s ก่อนที่จะเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจไทยบูมถึงขีดสุด โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์ สองอุตสาหกรรมนี้นำดัชนีSETทยานขึ้นสู่ระดับ 1683 จุดในเดือนธันวาคมปี 1993 โดยตลาดมีค่าP/Eอยู่ที่ประมาณ 26 เท่า (เทียบกับปัจจุบันที่ระดับ 15 เท่า) ก่อนที่จะเริ่มลดระดับลงในช่วงปลายปี 96 เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มชลอตัว

2.) หลังจากไทยฟื้นตัวจากต้มยำกุ้งไม่นาน นักลงทุนมากมายในตลาดอเมริกาก็หันมานิยมชมชอบ หุ้นที่เกี่ยวกับ IT คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต เห่อกันมาก จนหุ้นบางตัวที่ไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และ อินเตอร์เน็ตเลยก็ปรับตัวขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากชื่อบริษัทมีคำว่า "Electronics" "Computer" "Net" และ "Internet" อยู่ด้วยเป็นต้น

3.) ตั้งแต่ประมาณปี2002 นักลงทุนไทยก็ได้เริ่มหันมานิยมอุตสาหกรรมพลังงาน เนื่องจากปตท.เพิ่งเข้าตลาดและได้ทยอยพาลูกๆเข้าตลาดหลักทรัพย์

โดยปกติแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ พอบริษัทกลุ่มไหนเป็นที่นิยมมาก กลุ่มนั้นก็จะถูกนักลงทุนแย่งกันซื้อจนดันP/Eปรับตัวสูงขึ้นเป็นธรรมดา ถ้าเป็นกลุ่มที่ฮิตจริงๆ ค่าP/Eของกลุ่มอาจสูงกว่าค่าP/Eตลาดได้มากถึง 50% - 100% ได้อย่างสบายๆ

ตามหาหุ้นฮอตฮิต

มีนักลงทุนจำนวนมาก (ทั้งสถาบัน และรายย่อย) ที่มองหา theme การลงทุนของตลาดในปัจจุบัน หรือมองหาsectorที่กำลัง"มาแรง" มีบุคคลท่านหนึ่งซึ่งมีตำแหน่งที่ค่อนข้างใหญ่ในบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งเคยถึงกับกล่าวไว้ว่า

"BANPU พื้นฐานมันบอกว่า BUY ก็จริง แต่ sentiment มันไม่ BUY น่ะซิ จะไปบอกให้ลูกค้าเขาซื้อได้ไง"

ซึ่งหมายความว่าหุ้นที่บุคคลท่านนี้ (และลูกค้าของท่าน) ชอบ ต้องมีทั้งพื้นฐานที่ดี และstoryน่าตื่นเต้นด้วย

หารู้ไม่ว่า หุ้นที่มีstoryให้ตลาดตื่นเต้นเยอะๆ มักจะไม่ใช่หุ้นที่มีราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจัยพื้นฐานอีกต่อไป เพราะมันเป็นไปได้สูงว่านักลงทุนในตลาดก็ต้องรู้storyนั้นๆเหมือนกับที่เรารู้นั้นแหละ

นอกจากนี้การพยากรณ์ว่า อะไรจะเป็นthemeหรือstoryตื่นเด้นในอนาคตก็ทำได้ยาก เพราะthemeจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องมีทั้งปัจจัยพื้นฐานของบริษัทสนับสนุน อนาคตอุตสาหกรรมอันสดใส และอารมณ์ของตลาดที่คล้อยตามไปด้วย นักลงทุนส่วนใหญ่ที่พยายามทำกำไรจากหุ้นฮอตฮิตเหล่านี้ มักจะทำการซื้อเมื่อstoryเหล่านั้นเป็นที่รู้กันในคนหมู่มากและราคาหุ้นปรับขึ้นสูงแล้ว จุดจบก็คือ อาการ"ติดดอย"ตามระเบียบ

มีฮิต และมีแห้ว

ในแต่ละช่วงมักจะมีกลุ่มหุ้นที่เป็นที่นิยม(ฮิต) และกลุ่มหุ้นที่ถูกทิ้ง(แห้ว)ด้วยเช่นกัน ในกลุ่มฮิตอาจมีพื้นฐานดีจริง แต่มักจะเป็นหุ้นที่ราคาแพงเกินพื้นฐานไปแล้ว ในขณะที่ กลุ่มแห้ว โดนนักลงทุนแย่งกันทิ้งเพราะคิดว่าอนาคตไม่สู้ดีนัก จึงรีบเผ่นแบบชนิดที่ว่า "ขายก่อน ถามทีหลัง" ในตลาดหุ้นมีทั้งฮิตทั้งแห้วในแต่ละช่วง และแต่ละกลุ่มก็มักจะผ่านช่วงฮิตและช่วงแห้วของตนมาแล้วทั้งนั้น

ต่อไปนี้ คือ โฉมหน้าของตัวอย่างหุ้นฮอตฮิต ณ ตอนนี้

Source: Bloomberg

เราอาจจะพูดได้ว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา theme หลักของตลาดคือ หุ้นโมเดิร์นเทรดและอาหาร ตามที่เห็นในตาราง หุ้นเหล่านี้เป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนมากจนส่วนใหญ่ค่า P/E พุ่งสูงขึ้นเกิน 20 เท่า

P/E ของหุ้นกลุ่มนี้สูงมาหลายปีจนนักลงทุน และนักวิเคราะห์ คิดว่า "มันเป็นธรรมชาติ" ของหุ้นกลุ่มนี้ เพราะปัจจัยพื้นฐานต่างๆนาๆ

ต้องยอมรับว่า ธุรกิจอาหาร และพาณิชย์ เป็นธุรกิจที่ค่อนข้างมั่นคง และมีช่องทางที่จะเติบโตได้ดี แต่ที่ค่าP/Eเฉลี่ยระดับ 27.7 เท่า หรือสูงกว่า P/Eตลาดถึง 85% เราไม่คิดว่า หุ้นเหล่านี้เป็นของราคาถูกอีกต่อไป อย่างดีหน่อย นักลงทุนที่ซื้อก็จะได้แค่หุ้นที่เต็มมูลค่าแล้วนั้นเอง

หน้าที่ของนักลงทุน

เมื่อเราทราบแล้วว่า หุ้นแต่ละกลุ่มก็จะมีวงจรความนิยมในตลาดในแต่ละช่วง หน้าที่ของเราคือสังเกตดูให้ดีว่า อุตสาหกรรมไหน หรือ หุ้นกลุ่มไหนเป็นที่นิยมมากเกินไป และกลุ่มไหนที่ถูกนักลงทุนทอดทิ้งมากไป เมื่อสังเกตดูจนแยกแยะออกแล้วก็พยายามหลีกเลี่ยงกลุ่มแรกซึ่งมักจะเป็นของแพง แล้วมาพยายามเฟ้นหาของดีที่ถูกมองข้าม

วิธีนี้นอกจากจะทำให้เราได้ซื้อของถูกแล้ว ยังเป็นการลดความเสี่ยงในพอร์ทหุ้นของเราอีกด้วย เพราะหุ้นที่P/Eสูงมากๆ คือ หุ้นที่ไม่มี Margin of Safety เพราะนักลงทุนได้ให้ความคาดหวังกับบริษัทไว้เยอะ เมื่อเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาเล็กน้อย เช่น กำไรโต5% จากที่คาดกันไว้ว่าจะโต 40% หุ้นก็ตกฮวบฮาบได้แล้ว ลองจินตนาการดูว่า เวลากำไรลดลง จะเกิดอะไรขึ้นกับราคาหุ้น!?

ในทางตรงกันข้าม เมื่อไรที่หุ้นที่ถูกทิ้ง กลับมาเป็นหุ้นฮอตฮิตขึ้นมา เราก็จะได้กำไรอย่างมหาศาลจนแทบไม่รู้ตัว

บิดา VI อย่าง Benjamin Graham จึงได้กล่าวไว้ว่า

"People who habitually purchase common stocks at more than about 20 times their average earnings are likely to lose considerable money in the long run."

"คนที่ซื้อหุ้นที่มีระดับราคามากกว่า20เท่าของค่าเฉลี่ยของกำไรจนเป็นนิสัยนั้น มีโอกาสสูงที่จะต้องเสียเงินจำนวนไม่น้อยในระยะยาว"

สรุปใจความที่ผมเขียนมาทั้งหมดได้ความว่า "หลีกเลี่ยงหุ้นฮอตฮิตเพราะราคามันมักจะสะท้อนปัจจัยดีๆไปหมดแล้ว และพยายามมองหาหุ้นในกลุ่มที่ยังไม่เป็นที่นิยมมากนักแทน"

Posted in:
Twitter