การลงทุนหุ้น และเศรษฐกิจ อัพเดทรายสัปดาห์

11 กุมภาพันธ์ 2555

Value Investing (VI) คือ? [ฉบับปรับปรุง]


Value Investing (VI) หรือ การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เป็นคำที่ถูกใช้กันมากในหมู่นักลงทุน จนความหมายอาจจะบิดเบือนไปบ้างในหลายๆกรณี ผมได้เจอคลิปวีดีโอนี้และคิดว่าเขาอธิบายความหมายได้กระชับและถูกต้องจึงเอามาแบ่งกันดูครับ ก่อนที่จะไปดูวีดีโอ ผมขอเกริ่นสักเล็กน้อยเกี่ยวกับที่มาของแนวการลงทุนนี้ครับ

Value Investing เกิดจากแนวความคิดชาวอเมริกันชื่อ Benjamin Graham

ในช่วงชีวิตของ Graham เขาเจอวิกฤตตลาดหุ้นที่รุนแรงมากมาหลายต่อหลายครั้ง ในวัยเด็ก เขาต้องเห็นแม่ตัวเองเสียเงินออมไปจำนวนมาก เพราะลงทุนในตลาดหุ้นก่อนที่จะเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ในปี1907

ในปี1914 Grahamมีโอกาสได้ทำงานอยู่ในแผนกหุ้นกู้ของบริษัทโบรกเกอร์แห่งหนึ่ง ไม่นานหลังจากนั้น สงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็ปะทุขึ้น เกิดความโกลาหลในตลาดหุ้นกันยกใหญ่จนตลาดNYSEต้องปิดไปหลายเดือน ต่อมา Grahamได้ผันตัวเองเป็นเจ้าของบริษัทจัดการกองทุน แต่แล้วก็ต้องเผชิญกับ The Great Crashในปี1929 ในเหตุการณ์ครั้งนั้น Dow Jones ปรับตัวลงประมาณ50%ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี หลังจากนั้นตลาดได้ฟื้นตัวกลับขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ต้องปรับตัวไปอีกเนื่องจากข้อผิดพลาดด้านนโยบายของธนาคารกลางของอเมริกาในสมัยนั้นประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่เปราะบาง คราวนี้หุ้นตกแรงกว่าเก่า Dow Jonesร่วงจาก290มาที่จุดต่ำสุดคือประมาณ40ในช่วงต้นปี1932 ซึ่งเป็นปีที่เกิดภาวะเศรษฐกิจหดตัวอย่างรุนแรง หรือที่เรียกกันว่า The Great Depression

หลังจากที่เกิด The Great Depression ได้เจ็ดปี สงครามโลกครั้งที่สองก็ปะทุขึ้น นักลงทุนตกอยู่ในความหวาดกลัว  ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงกันถ้วนหน้า (ยกเว้นตลาดหุ้นเยอรมัน และตลาดหุ้นญี่ปุ่นในช่วงแรก เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่คิดว่าประเทศของตนจะชนะสงคราม)

จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เจอตลาดหุ้นขาลงแบบรุนแรงมาหลายต่อหลายครั้ง เห็นบริษัทล้มละลายมาก็มาก Ben Graham ถ่ายทอดแนวความคิดผ่านทางหนังสือสองเล่มของเขาคือ Security Analysis (1934) และ Intelligent Investor (1949) ซึ่งเป็นหนังสือการลงทุนที่มีชื่อเสียงมาก และถูกกล่าวขานมากที่สุดในหมู่นักลงทุนVI ใจความหลักของหนังสือเล่มนี้ก็คือ นักลงทุนควรเลือกซื้อหุ้นตอนที่ราคามันถูกจริงๆเท่านั้น เพราะGrahamเชื่อว่าเป้าหมายของการลงทุนนั้นไม่ใช่การหากำไรให้ได้มากที่สุดอย่างเดียว แต่ต้องขาดทุนให้น้อยที่สุดเวลาตลาดปรับตัวลงด้วย

หุ้นถูกๆที่ว่าดูจากอะไร? Grahamเป็นคนแรกๆที่นำอัตราส่วนมาใช้ หุ้นถูกๆก็อย่างเช่น P/Bต่ำกว่าหนึ่ง P/Eเฉลี่ยต่ำมากๆ และมูลค่าNet net current asset per shareที่มีค่ามากกว่าราคาหุ้นนั้นเอง Grahamเรียกการลงทุนแบบนี้ว่าเป็นการลงทุนที่มองหาMargin of Safetyสูงๆ ซึ่งเป็นการซื้อหุ้นที่มีมูลค่าที่แท้จริงเท่ากับ1บาท ที่ราคาแค่ 67 สตางค์หรือต่ำกว่านั่นเอง

แต่ทว่ากฏเกณฑ์ต่างๆที่Ben Grahamเขียนไว้ในหนังสือของเขานั้นเป็นเกณฑ์ที่เคร่งครัดมาก ถ้านักลงทุนมองหาบริษัทดีๆที่ผ่านเกณฑ์เหล่านั้นในตลาดหุ้นทุกวันนี้ นักลงทุนจะสามารถหาได้ในกรณีเดียวเท่านั้น
คือ เกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่ค่อนข้างรุนแรง

หุ้นที่ผ่านเกณฑ์ของเขาหายากมากถึงขนาดที่Warren Buffettเคยกล่าวไว้ว่า ครั้งล่าสุดที่คุณจะลงทุนแบบGrahamได้ คงเป็นช่วงยุค70sซึ่งเป็นยุคที่ราคาหุ้นยังค่อนข้างต่ำอยู่ (1)

อย่างไรก็ตาม แนวการลงทุนVIก็ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ หรือกลายเป็นแนวความคิดที่ไร้ประโยชน์แต่อย่างใด มีนักลงทุนVIชื่อดังอีกท่านหนึ่งของอเมริกาเคยกล่าวไว้ว่า Ben Grahamเป็นคนเขียนไบเบิ้ล ทว่าWarren Buffett ซึ่งเป็นลูกศิษย์และเพื่อนสนิท เป็นคนอัพเดทไบเบิ้ลนั้นให้ดีและมีคุณภาพยิ่งขึ้น (2)

ตอนนี้ท่านผู้อ่านคงรู้จักที่มาของValue Investingคร่าวๆแล้ว เราไปดูความหมายจากวีดีโอเลยดีกว่าครับ



แก่นแท้ของแนวการลงทุน Value Investing 

[ตัวหนาคือ สิ่งที่แปลมาจากวีดีโอโดยตรง ส่วนตัวหนังสือปกติคือสิ่งที่ผู้เขียนอธิบายเพิ่มเติมเข้าไปครับ]



Value Investing เป็นการลงทุนที่ทรงพลังมาก ถ้าคุณสามารถทำตามกฏได้ ซึ่งก็คือ

1.) ลงทุนในบริษัท ไม่ใช่หุ้น

เมื่อได้ลงทุนในบริษัทใดแล้ว นักลงทุนVIจะมองตัวเองว่าเป็นเจ้าของบริษัทคนหนึ่ง เขาจะซื้อเฉพาะหุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และอนาคตในระยะยาวที่ดี คือสามารถนำเสนอสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการได้

นักลงทุนที่ดีต้องเพ่งความสนใจไปที่ตัวธุรกิจว่าจะให้ผลตอบแทนให้เขาได้ดีขนาดไหน ลองถามตัวคุณดูว่าถ้าคุณจะซื้อกิจการร้านข้าวแกงแถวบ้าน คุณจะอยากรู้อะไรบ้าง? คุณคงอยากรู้ว่า คุณป้าคนที่ขายอยู่เขาทำกำไรได้เดือน/ปีละเท่าไร กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ที่มากินนั้นมาจากไหน มีโอกาสที่หมู่บ้านใหม่จะมาเปิดภายในบริเวณหรือไม่ แล้วในอนาคต ถ้ามีคู่แข่งมาเปิดใกล้กัน คุณป้าจะรับมืออย่างไร คุณคงอยากรู้ด้วยว่า คุณป้าและเด็กเสิร์ฟเป็นคนมีความสามารถ เอาใจใส่ลูกค้า และมีความซื่อสัตย์มากน้อยแค่ไหน ถ้าให้ดีคุณอาจจะลองถามตัวเองเลยว่าถ้าที่เหลือของชีวิตคุณจะต้องพึ่งรายได้จากธุรกิจข้าวแกงร้านนี้้เป็นหลัก คุณจะเอาเงินเก็บที่มีอยู่ไปซื้อกิจการนี้หรือไม่?

การลงทุนในหุ้นก็เช่นเดียวกัน คุณก็ควรตั้งคำถามเหมือนกับว่าคุณจะต้องเป็นเจ้าของบริษัทนั้นจริงๆ หลายคนอาจลืมไปแล้วว่าเบื้องหลังหุ้นคือธุรกิจ ไม่ใช่หวย ถ้าธุรกิจดีผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นก็จะดีตาม

"Investment is most intelligent when it is most businesslike" - Benjamin Graham (3)

"If you're an investor, you're looking on what the asset is going to do, if you're a speculator, you're commonly focusing on what the price of the object is going to do, and that's not our game." - Warren Buffett (4)

"The number one idea is to view a stock as an ownership of the business and to judge the staying quality of the business in terms of its competitive advantage. Look for more value in terms of discounted future cash-flow than you are paying for. Move only when you have an advantage." - Charlie Munger (5)


2.) ลงทุนแบบมีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย[Margin of Safety]

นักลงทุนVI เชื่อว่าเวลาซื้อหุ้น พวกเขาควรลงทุนเฉพาะตอนที่ราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัทนั้นอยู่มาก ซึ่งจะทำให้เกิดMargin of Safety การสร้างMargin of Safetyในทุกๆการลงทุนจะช่วยให้เพิ่มศักยภาพของกำไร และมันยังจำกัดความเสี่ยงขาลงของราคาหุ้นอีกด้วย

หลักการของMargin of Safetyคือ การซื้อหุ้นที่ราคาถูกๆ เพราะหุ้นที่ราคาถูกมากมักจะมีพื้นที่ให้ลงต่อน้อยกว่าหุ้นที่ยังแพงอยู่ นอกจากนี้ถ้าผลงานของบริษัทไม่ได้ดีเหมือนที่คุณคาดการณ์ไว้ คุณก็อาจจะขาดทุนแค่นิดหน่อย (หรือได้กำไรด้วยซ้ำ) เพราะคุณซื้อไว้ราคาถูกมากตั้งแต่แรก

การมีMargin of Safetyมากๆนั้นจะทำให้นักลงทุนVIมีความพร้อมรับมือวิกฤตที่รุนแรงมากกว่านักลงทุนคนอื่นๆ เปรียบเสมือนสะพานที่ถูกสร้างไว้เพื่อรับน้ำหนักถึง300ตัน ทั้งๆที่ในแต่ละขณะน้ำหนักของรถที่วิ่งบนสะพานนั้นหนักแค่ประมาณ30ตันเท่านั้น ถึงแม้วันไหนรถบรรทุกจะวิ่งมาบนสะพานเป็นจำนวนมากเป็นพิเศษ (หรือวิกฤตทางการเงินขั้นรุนแรง ในกรณีของตลาดหุ้น) เจ้าของสะพานก็อุ่นใจได้ว่าสะพานเขาจะไม่พังอย่างแน่นอน

"[T]o distill the secret of sound investment into three words, we venture the motto: Margin of Safety." - Benjamin Graham (6)

"Never count on making a good sale. Have the purchase price be so attractive that even a mediocre sale gives good results." - Warren Buffett (7)

"No matter how wonderful [a business] is, it's not worth an infinite price, so we have to have a price that makes sense." - Charlie Munger (8)

3.) ซื้อแล้วถือ

Value Investing เป็นกลยุทธ์การลงทุนแบบระยะยาว เป็นวิธีที่ไม่พยายามหากำไรจากการเคลื่อนไหวของตลาดทุนในระยะสั้น นักลงทุนVIอาจจะซื้อหุ้นมูลค่าสักตัว แล้วเก็บไว้เป็นปีๆ เพื่อรอให้ราคาของหุ้นปรับตัวเข้าหา หรือปรับตัวสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัท

ทำไมต้องถือนานๆ? คำตอบนั้นเกี่ยวข้องกับข้อหนึ่งครับ ถ้าคุณซื้อร้านข้าวแกง คุณคิดว่าคุณจะได้กำไรขึ้นมาภายในวันพรุ่งนี้หรือสัปดาห์หรือไม่? ก็คงไม่

นักเก็งกำไรที่เข้าออกตลาดเป็นประจำมักจะเป็นพวกที่ไม่คำนึงถึงคุณลักษณะธุรกิจของบริษัทที่เขาถืออยู่เลย พวกเขาคิดว่าหุ้นในวันนี้ เป็นแค่สื่อกลางที่เขาสามารถนำไปแลกเงินคืนพร้อมกำไรได้ในวันพรุ่งนี้ คิดว่าการทำกำไรจากหุ้นนั้นทำได้ง่ายๆ แค่ทายว่าราคามันจะขึ้นหรือลง Ben Grahamเรียกการกระทำเช่นนี้ว่า timing และคนที่ใช้แต่ timing ในการเล่นหุ้นก็มักจะจบไม่สวยนัก

ข้อสรุปจากข้อนี้คือ การลงทุนหุ้นนั้นต้องมีความอดทน ไม่ต่างจากการลงทุนในธุรกิจทั่วๆไป

"If you want to speculate do so with your eyes open, knowing that you will probably lose money in the end” - Benjamin Graham (9)

"Most of our large stock positions are going to be held for many years; and the scorecard on our investment decisions will be provided by business results over that period, and not by price on any given day." - Warren Buffett (10)

"Sit on your ass investing because it only requires one decision - to buy into an excellence business and simply avoid taking actions for several decades provided the intrinsic value and competitive position of the firm remains unchanged." - Charlie Munger (11)

4.) ไม่สนใจฝูงชน

นักลงทุนVIเชื่อว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ซื้อและขายในเวลาที่ผิด เวลาราคาหุ้นปรับตัวขึ้น นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่อยากตกขบวน พวกเขาจึงเข้าซื้อที่ราคาแพง เวลาราคาหุ้นอยู่ในช่วงขาลง นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มกลัวว่าจะเสียเงินทั้งหมด พวกเขาจึงขายที่ราคาถูก นักลงทุนVIเมินความคิดและพฤติกรรมหมู่อย่างสิ้นเชิง และตัดสินใจซื้อ-ขาย บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างราคากับมูลค่าพื้นฐานของบริษัทนั้นๆ

ถึงแม้ในวิดีโอจะบอกว่า "ไม่สนใจฝูงชน" ผมว่าคำที่ตรงกว่าคือ "ใช้ประโยชน์จากฝูงชน" การที่นักลงทุนมีความหวาดกลัว แย่งกันขายจนทำให้ตลาดหุ้นตกอยู่ในช่วงขาลง คือโอกาสที่ดีที่สุดที่VIจะหาของราคาถูกๆได้ และเมื่อไรที่คนในตลาดมองโลกในแง่บวกมากเกินไป ราคาเท่าไรก็ยอมซื้อ นักลงทุนVIก็จะใช้ประโยชน์จากตลาดด้วยการทยอยขายหุ้นที่เริ่มแพงจนเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท

"You may be happy to sell out to [Mr.Market] when he quotes you a ridiculously high price, and equally happy to to buy from him when his price is low. But the rest of the time you will be wiser to form your own ideas of the value of your holdings..." - Benjamin Graham (12)

"The most common cause of low prices is pessimism - some times pervasive, some times specific to a company or industry. We want to do business in such an environment, not because we like pessimism but because we like the prices it produces. It's optimism that is the enemy of the rational buyer." - Warren Buffett (13)

"Mimicking the herd invites regression to the mean." - Charlie Munger (14)

ถ้าคุณทำตามกฎเหล่านี้ได้ คุณก็ได้อยู่บนหนทางที่จะเป็นValue Investorแล้วครับ


---------------------------------------------------------------

แหล่งอ้างอิงสำหรับหมายเหตุ(1)-(14) คลิกดูได้ที่นี่ครับ แหล่งอ้างอิงของบทความ "Value Investing (VI) คือ?"

Posted in:
Twitter