การลงทุนหุ้น และเศรษฐกิจ อัพเดทรายสัปดาห์

03 สิงหาคม 2562

Trade War: สงคราม กับคะแนนนิยมของประธานาธิบดี

"What the whole history of this shows is that presidents fabricate incidents that are counterfeit to get us into war. They can get us into war to improve their own popularity, and they know that's a very quick way of getting your numbers up and winning elections." - Michael Beschloss นักประวิติศาสตร์ชาวอเมริกัน

สิ่งที่เราได้เรียนรู้จาก สงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกา กับ จีน คือ "ความไม่แน่นอน คือความแน่นอน" วันที่ 1 สิงหาคม 2019 ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศขึ้นภาษี10%สำหรับการนำเข้าสินค้าจีนที่เหลือมูลค่า 3 แสนล้านดอลล่าร์ (มีผลบังคับใช้  1 ก.ย. 2019) ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ มีการประกาศสงบศึกชั่วคราวกับจีน กลับมาเริ่มต้นเจรจาใหม่ และมีการลดระดับความรุนแรงการห้ามทำธุรกิจกับ Huawei  ในช่วงปลายเดือน มิ.ย. 19 การแสดงท่าทีพร้อมที่จะเจรจาคลี่คลายปัญหาของ Trump แล้วสุดท้ายกลับลำมาทะเลาะกันใหม่ได้เกิดขึ้นหลายครั้ง ครั้งแรกสุดเกิดขึ้นในเดือน เม.ย. ปี 17 ตอนที่ ประธานาธิบดีของจีน Xi Jinping ไปเจอ Trump ที่โรงแรม Mar-a-Largo เพื่อคุยเรื่องแผนการสะสางข้อขัดแย้งทางการค้า (100 Day Action Plan) ผ่านไปไม่ถึง 1 ปี Trump ก็เริ่มทยอยประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน

การเจรจามีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พอเหมือนจะแก้ปัญหาได้ ตลาดหุ้นอเมริกาก็ขึ้น พอมีการประกาศขึ้นภาษีในสินค้ารายการใหม่ ตลาดหุ้นก็ลง ปัจจุบัน อเมริกามีการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนรวมมูลค้า2.5แสนล้านดอลล่าร์ (ยังไม่รวมสินค้าล๊อตใหม่มูลค่า 3 แสนล้านบาท ที่กำลังจะเริ่มใช้ในเดือน ก.ย.) ส่วนทางจีนก็มีการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอเมริกามูลค่ารวม 1.1 แสนล้านบาท

ตามหลักพื้นฐานเศรษฐศาสตร์ การซื้อ-ขายสินค้าระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่ดี เพราะประเทศไหนถนัดผลิตอะไร(ทำได้คุณภาพดี+ราคาถูก) ก็ควรผลิตและขายสินค้าประเภทนั้นในตลาดโลก เศรษฐกิจทั่วโลกก็จะเติบโต ผู้บริโภคก็ได้ใช้ของราคาถูก และมีตัวเลือกหลากหลายมากขึ้น คำถามที่ตามมา คือ แล้ว Trump จะก่อสงครามทางการค้าไปเพื่ออะไร คำตอบสั้นๆ คือ สร้างคะแนนนิยม ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญตัวหนึ่งที่อาจบอกได้ว่าจะชนะหรือแพ้การเลือกตั้งในครั้งหน้า สิ่งนี้ทำให้เราเชื่อว่า Trump จะทำตัวเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้ายกับเรื่อง Trade War ไปอีกพักใหญ่ๆ เพื่อสร้างฐานเสียงก่อนเลือกตั้ง พ.ย. ปีหน้า

ในช่วงแรก ของการเป็นประธานาธิบดีของ Trump คะแนนนิยมของเขา (% approval ตาม Gullup polls) ค่อยๆปรับตัวลงจาก 45% ในเดือน ม.ค. 17  มาที่จุดต่ำสุด 35% ในช่วง ส.ค. - ต.ค. 17 ที่คะแนนนิยมปรับลดลงมาก เนื่องจากการดำเนินการนโยบายต่างๆที่เคยสัญญาว่ากับประชาชาไว้ (เช่น ของบสร้างกำแพงชายแดนอเมริกา-เม็กซิโก) ค่อนข้างติดขัด ไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง เพราะโดนศาลยุติธรรม หรือ สภาขัดขวาง ส่วนนโยบายส่วนใหญ่ที่ทำได้จริงก็มักจะไม่เกิดประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ของประเทศ (เช่น ลดภาษีเงินได้ให้คนรายได้สูง)

ช่วง ก.พ. - มี.ค. 18 Trump เริ่มประกาศสงครามการค้ากับหลายประเทศ แต่ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ จีน หลังจากนั้นคะแนนความนิยมของ Trump ก็่ค่อยๆปรับตัวสูงขึ้นจาก 36% ช่วงต้นปี 18 จนแตะ 42% ในช่วงปลายเดือน เม.ษ 18. และแทบไม่ลงมาต่ำกว่า 40% อีกเลย  โพลล่าสุด(12 ก.ค. 2019)แสดงให้เห็นว่าคะแนนความนิยมอยู่ที่ 44% ใกล้เคียงตอนที่ Trump เข้าเป็นประธานาธิบดีเดือนแรกที่ 45%

ก่อนประกาศสงครามการค้ากับจีน คะแนนนิยม (% Approve) ของ Trump อยู่ที่ 36% ตั้งแต่ประกาศ Trade War ในเดือน มี.ค. 2018 คะแนนนิยมปรับตัวสูงขึ้น และแทบไม่ลงมาต่ำกว่า 40% อีกเลย ล่าสุดคะแนนอยู่ที่ 44%

การสร้างสงครามการค้า ทำให้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ในขณะผลกระทบด้านลบรุนแรงทางเศรษฐกิจยังไม่เห็นผล ยิ่งทำให้ Trump กล้าสร้างกระแส Trade War ยิ่งขึ้นไปอีก เป็นที่ยอมรับกันดีในหมู่นักรัฐศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ของอเมริกาว่า การมีสงครามทางการทหาร หรือ การมีวิกฤตกับต่างชาติมักจะกระตุ้นคะแนนนิยมได้สักระยะ จนมีคำที่เรียกอาการนี้ว่า Rally 'round the flag หรือแปลตรงตัวว่า ชุมนุมรอบธงชาติ สงครามการค้าของ Trump ก็ส่งผลต่อคะแนนนิยมคล้ายๆสงครามทางการทหาร ในแง่ที่สามารถเรียกคะแนนนิยมได้ดี เพราะประชาชนมองว่า ประธานาธิบดีก็ต่อสู้เพื่อประโยชน์ของคนในชาติ ไม่อ่อนข้อกับต่างชาติเหมือนผู้นำในอดีต พูดสั้นๆก็คือ สร้างความเป็นชาตินิยม และความมีศัตรูร่วมกันอย่างชัดเจน(ซึ่งนำมาอ้างว่าเป็นเหตุของปัญหาต่างๆในชาติได้อีก)

อย่างไรก็ตาม การปรับตัวสูงขึ้นจากการก่อสงครามมักจะค่อยๆหายไปหากสงครามยืดเยื้อ หรือประชาชนมองว่าสงครามไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไร สิ้นเปลืองเงินและทรัพยากรของชาติเปล่าๆ

ตัวอย่างความคัดแย้งระหว่างประเทศที่ส่งผลให้คะแนนนิยมของประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาปรับตัวสูงขึ้น

เริ่มมีคนบางกลุ่มพูดว่า Trump จะเล่นเรื่องภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเลือกตั้งปีหน้าในเดือน พ.ย. หลังจาก Trump เลือกตั้งชนะ เรื่อง Trade War ควรจะเริ่มเบาลง เจรจารอมชอมกันรู้เรื่องมากขึ้น ความเสี่ยงคือ ถ้า Trump มีความมั่นใจในความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจมาก จนเพิ่มภาษีมากไปเพื่อเรียกคะแนนความนิยมขึ้นไปอีก (เหมือนที่กำลังจะขึ้นภาษีสินค้ากลุ่มใหม่จากจีนอีกในเดือน ก.ย. นี้) อาจทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้งก็ได้

ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจโลกจาก Trade War กับตลาดหุ้นอเมริกาที่แพงแล้ว ทำให้ช่วงนี้นักลงทุนควรลงทุนอย่างระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งครับ ในบทความหน้า เราลองมาดูกันว่าตลาดหุ้นอเมริกาแพงมากแค่ไหนแล้ว

Posted in: , ,
Twitter